วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สอบปลายภาค วิชาการจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศ เสนอ ผอ.สมคิด ดวงจักร์


ข้อสอบวิชา การจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศ
หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต การบริหารการศึกษา ปีการศึกษา 2552
ชื่อ นางศศิปภา เหมาะสมัย เลขที่ 63 ป.บัณฑิต รุ่นที่ 8 บริหารการศึกษา
ผศ.สมคิด ดวงจักร์ ผู้ออกข้อสอบ
-------------------------------------
คำชี้แจง
1. ข้อสอบมี 3 ข้อ ข้อละ 10 คะแนน รวม 30 คะแนน
2. ให้ส่งคำตอบทางเมล์ (
somkid08@hotmail.com) และบล๊อกของตนเอง ภายในวันที่ 10 มิถุนายน 2552 กรณีที่ไม่สามารถดำเนินการส่งทางเมล์หรือบล๊อกได้อย่างแน่แท้ ก็อนุญาตให้ส่งด้วยกระดาษคำตอบที่แจกให้ได้

-------------------------------------

1. ท่านสามารถประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศในองค์กรของท่านได้อยางไร บอกกรอบความคิด ขั้นตอน ผลกระทบให้เห็นเป็นกระบวนการคิดของท่านทั้งระบบ

ตอบ การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลเมืองราชบุรี ก่อนอื่นขอกล่าวถึง
องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ ศรีไพร ศักดิ์รุ่งพงศากุล และคณะ. (2549. หน้า 14-20) กล่าวว่า องค์ประกอบของระบบสารสนเทศซึ่งเป็นระบบสนับสนุนการบริหารงาน การจัดการ และการปฏิบัติการของบุคคลไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคลระดับกลุ่มหรือระดับองค์กร ซึ่งองค์ประกอบของระบบสารสนเทศมี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ข้อมูล บุคลากร และขั้นตอนการปฏิบัติงาน
- ฮาร์ดแวร์ เป็นองค์ประกอบสำคัญ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์รอบข้าง
- ซอฟต์แวร์ หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นชุดคำสั่งที่สั่งให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน
- ข้อมูล เป็นส่วนที่จะนำไปจัดเก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์
- บุคลากร เป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานคอมพิวเตอร์
- ขั้นตอนการปฏิบัติงาน เป็นสิ่งที่จะต้องเข้าใจเพื่อให้ทำงานได้ถูกต้องเป็นระบบ
1. ฮาร์ดแวร์
ฮาร์ดแวร์เป็นองค์ประกอบสำคัญ ของระบบสารสนเทศ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์รอบ ๆ ข้างรวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารสำหรับ เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเป็นเครือข่าย เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดตรวจ เมื่อพิจารณาเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งเป็น 3 หน่วย คือ
- หน่วยรับข้อมูล (input unit) เช่น แผงแป้นอักขระ เมาส์
- หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU)
- หน่วยแสดงผล (output unit) เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์
การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์ จะพบว่าคล้ายกัน กล่าวคือ เมื่อมนุษย์ได้รับข้อมูลจากประสาทสัมผัส ก็จะส่งให้สมองคิด แล้วสั่งให้มีการโต้ตอบ
2. ซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญประการที่สอง ซึ่งก็คือลำดับขั้นตอนของคำสั่งที่จะสั่งงานให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน เพื่อประมวลผลข้อมูลให้ได้ผลลัพธ์ตามความต้องการของการใช้งาน ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติงาน ซอฟต์แวร์ควบคุมระบบงาน ซอฟต์แวร์สำเร็จ และซอฟต์แวร์ประยุกต์สำหรับงานต่างๆ ลักษณะการใช้งานของซอฟต์แวร์ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้จะต้องติดต่อใช้งานโดยใช้ข้อความเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันซอฟต์แวร์มีลักษณะการใช้งานที่ง่ายขึ้น โดยมีรูปแบบการติดต่อที่สื่อความหมายให้เข้าใจง่าย เช่น มีส่วนประสานกราฟิกกับผู้ใช้ที่เรียกว่า กุย (Graphical User Interface: GUI) ส่วนซอฟต์แวร์สำเร็จที่มีใช้ในท้องตลาดทำให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ในระดับบุคคลเป็นไปอย่างกว้างขวาง และเริ่มมีลักษณะส่งเสริมการทำงานของกลุ่มมากขึ้น ส่วนงานในระดับองค์กรส่วนใหญ่มักจะมีการพัฒนาระบบตามความต้องการโดยการว่าจ้าง หรือโดยนักคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในฝ่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กร เป็นต้น
ซอฟต์แวร์ คือ ชุดคำสั่งที่สั่งงานคอมพิวเตอร์ แบ่งออกได้หลายประเภท เช่น
1. ซอฟต์แวร์ระบบ คือ ซอฟต์แวร์ที่ใช้จัดการกับระบบคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบ เช่น ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ระบบปฏิบัติการดอส ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์
2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ คือ ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานด้านต่างๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ เช่น ซอฟต์แวร์กราฟิก ซอฟต์แวร์ประมวลคำ ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน ซอฟต์แวร์นำเสนอข้อมูล
3. ข้อมูล
ข้อมูล เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งของระบบสารสนเทศ อาจจะเป็นตัวชี้ความ สำเร็จหรือความล้มเหลวของระบบได้ เนื่องจากจะต้องมีการเก็บข้อมูลจากแหล่งกำเนิด ข้อมูลจะต้องมีความถูกต้องมีการกลั่นกรองและตรวจสอบแล้วเท่านั้นจึงจะมีประโยชน์ ข้อมูลจำเป็นจะต้องมีมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้งานในระดับกลุ่มหรือระดับองค์กร ข้อมูลต้อง มีโครงสร้างในการจัดเก็บที่เป็นระบบระเบียบเพื่อการสืบค้นที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ
3. บุคลากร
บุคลากรในระดับผู้ใช้ ผู้บริหาร ผู้พัฒนาระบบ นักวิเคราะห์ระบบ และนักเขียนโปรแกรม เป็นองค์ประกอบสำคัญในความสำเร็จของระบบสารสนเทศ บุคลากรมีความรู้ความ สามารถทางคอมพิวเตอร์มากเท่าใดโอกาสที่จะใช้งานระบบสารสนเทศและระบบคอมพิวเตอร์ได้ เต็มศักยภาพและคุ้มค่ายิ่งมากขึ้นเท่านั้น
โดยเฉพาะระบบสารสนเทศในระดับบุคคลซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้มีโอกาสพัฒนาความสามารถของตนเองและพัฒนาระบบงานได้ตามความต้องการ สำหรับระบบสารสนเทศในระดับกลุ่มและองค์กรที่มีความซับซ้อนจะต้องใช้บุคลากรในสาขาคอมพิวเตอร์โดยตรงมาพัฒนาและดูแลระบบงาน
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลเมืองราชบุรี ได้แก่ การจัดการเรียนการสอนด้วยโปรแกรม E-Learning จัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
อินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์เริ่มเข้ามามีส่วนกับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่มากขึ้น สถาบันการศึกษาทุกแห่ง
ให้ความสนใจในเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศ การใช้เทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ทางด้านการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็น การเรียนการสอนในปัจจุบันจึงเปลี่ยนสภาพไปค่อนข้างมาก นิสิตนักศึกษา ครูอาจารย์ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ประกอบการเรียนการสอนด้วยกันทั้งสิ้น
การเรียนการสอนก็เหมือนกับธุรกิจทั่วไปที่ต้องปรับตัวให้ทันกับการแข่งขัน ปัจจุบันมีแหล่งความรู้เกิดขึ้น
มากมาย มีสิ่งที่จะต้องเรียนต้องสอนมหาศาล ทำอย่างไรจึงจะลงทุนทางด้านการศึกษาน้อยแต่ได้ผลตอบแทนสูง การเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพการเรียนรู้จะทำได้อย่างไร การเรียนรู้สมัยใหม่ต้องใช้เวลาน้อย เรียนรู้ได้เร็ว มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรต่าง ๆ ร่วมกัน รวมถึงการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันด้วย ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบันตอบสนองต่อการประยุกต์เข้ากับการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี

กรอบแนวคิด ทำไมต้อง eLearning
eLearning เป็นหนทางหนึ่งของการพัฒนากำลังคน ด้านการสร้างการเรียนการสอนแบบออนไลน์
ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนอะไรก็ได้ เรียนเวลาใดก็ได้ตามความเหมาะสม นักเรียนจะพอใจกับการเรียนรู้ที่มีความอิสระและคล่องตัว ร ะบบ eLearning จะทำให้ลดเวลาการเรียนรู้ได้มากกว่า 50 เปอร์เซนต์
ขั้นตอนและรูปแบบของ eLearning
รูปแบบของการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในสถานศึกษาในสังกัด โมเดลการเรียนการสอนแบบ eLearning ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการเรียนการสอนโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และดำเนินกิจกรรมโดยอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นหลัก

การใช้ eLearning เป็นเรื่องที่ต้องมีการบริหารจัดการ การกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการโดยใช้
เครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือช่วยบริการให้ถึงเป้าหมายได้ง่ายและรวดเร็ว จุดเด่นของการเรียนรู้แบบนี้คือ การเข้าถึงเนื้อหาได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานที่ สำหรับการสร้างเนื้อหาก็มีลักษณะที่ทำให้สิ่งที่สร้างขึ้นนั้นนำกลับมาใช้ได้ตลอดเวลา เรียกซ้ำได้ไม่รู้จบ การดำเนินการต่าง ๆ จึงใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าช่วย เช่น การประเมินผล การสอบ ทดสอบความรู้ต่าง ๆ

ผลกระทบของการใช้ E – Learning
ผู้เรียนพร้อมหรือยังสำหรับการเรียนการสอนด้วย E – Learning จากการเรียนการสอนแบบปกติ การเรียนบนเว็บได้เสนอความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลต่อผู้เรียน นอกจากการสูญเสียความเป็นกลุ่มใน ขณะเรียน แล้ว สิ่งสำคัญคือพวกเขา ต้องมีความรู้เบื้องต้นในการใช้อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ และต้องรู้สึกสบายใจที่จะใช้เทคโนโลยีของเว็บ ง่าย ๆ ก็คือ ความ ชำนาญด้านคอมพิวเตอร์จำเป็นพอสมควรที่ครูผู้สอนต้องทราบ ในการใช้ กลยุทธ์การเรียนการสอนแบบใหม่ อย่างน้อยที่สุดนักเรียนต้อง รู้จักระบบ ปฏิบัติการ Windows และการใช้บราวเซอร์ในการท่องอินเทอร์เน็ต ซึ่ง อาจจะรวม ถึงการต่อสายโทรศัพท์เข้ามาที่เว็บเซิร์ฟเวอร์ ความรู้พื้นฐานนี้สามารถ หา ได้จาก การเรียนเพิ่มเติม รวมทั้งการสนับสนุนระบบการสอนด้วย E – Learning ต้องใช้เงินจำนวนมาก และการติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ๆ ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เด็กจะขาดความสัมพันธ์ใกล้ชิดเพื่อน
2. ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับการจัดทำแผนแม่บทด้านไอซีที (ICT) ฉบับที่ 2 ของรัฐบาลไทย จงสังเคราะห์ ความรู้จากแผนแม่บทมาเป็นคำอรรถาธิบายให้แจ้งชัด
----------------
ตอบ
ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับการจัดทำแผนแม่บทด้านไอซีที (ICT) ฉบับที่ 2 ของรัฐบาล ซึ่งมีวิสัยทัศน์ แผนแม่บท ICT ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2552-2554) ดังนี้
“ประเทศไทยเป็นสังคมอุดมปัญญา (Smart Thailand ด้วย ICT)
- มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาประเทศไทยให้เป็นสังคมอุดมปัญญา ด้วยการใช้ ICT โดย การพัฒนากำลังคนให้มีคุณภาพและปริมาณที่เพียงพอ ทั้งบุคลากรด้าน ICT และบุคลากรในสาขาอาชีพอื่นๆการพัฒนาโครงข่ายสารสนเทศและการสื่อสารความเร็วสูงการพัฒนาระบบบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่มีธรรมาภิบาลโดยมีกลไกกฎระเบียบ โครงการการบริหารและการกำกับดูแล ที่เอื้อต่อการพัฒนาอย่างบูรณาการการยกระดับความพร้อมด้าน ICT ของประเทศให้สูงขึ้นในระดับโลกการผลักดันอุตสาหกรรม ICTให้มีสัดส่วนมูลค่าเพิ่ม ต่อ GDP ไม่น้อยกว่า 20 % และการส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนอย่างน้อย 50 % สามารถเข้าถึงและใช้ICT
แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2) ของประเทศไทย พ.ศ. 2552-2556 ถือเป็นแผนประสานงานระดับชาติที่มีสาระสำคัญหลายประการที่สะท้อนให้เห็นความต่อเนื่องทางนโยบายจาก “นโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศระยะ พ.ศ. 2545 – 2553 ของประเทศไทย” “แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2545 – 2549 “ ควบคู่ไปกับการกำหนดนโยบายใหม่และการปรับให้มีจุดเน้นในบางเรื่องที่เด่นชัดขึ้นจากแผน ฯ ฉบับแรก เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคมที่เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของประเทศไทย และในขณะเดียวกัน เพื่อมุ่งแก้ไขส่วนที่ยังเป็นจุดอ่อน และต่อยอดส่วนที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด อันจะช่วยนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาประเทศตามที่กำหนดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ในที่สุด
การใช้เทคโนโลยี ถือเป็นทั้งโอกาสและภัยคุกคามของสังคมไทย การใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นเป็นโอกาสอันดี ที่จะทำให้ประชาชนได้รับข่าวสารใหม่ ๆ ได้รับความรู้ได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น แต่ในทางกลับกัน ก็อาจจะเป็นภัยคุกคามอันเกิดจากการใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมเพิ่มขึ้นด้วย เช่น เกิดปัญหาอาชญากรรมรูปแบบใหม่ การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (มากขึ้นและง่ายขึ้น) การใช้เทคโนโลยีอาจทำให้พฤติกรรมของคนเบี้ยงเบนทางสังคม การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล การนำข้มูลส่วนบุคคลของผู้อื่นไปหาประโยชน์ การเข้าถึงสื่อลามกของเด็ก เป็นต้น
3. ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับการใช้กระบวนการทางกฎหมาย (กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (พ.ศ. 25520) เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมในสังคมจากการใช้คอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด จงอภิปรายถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องให้เห็นเป็นรูปธรรม
----------------------------------
ตอบ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับการใช้กระบวนการทางกฎหมาย (กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 25520) เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมในสังคมจากการใช้คอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศมีผลกระทบต่อสังคมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นจริยธรรมที่เกี่ยวกับระบบสารสนเทศที่จำเป็นต้องพิจารณา รวมทั้งเรื่องความปลอดภัย ของระบบสารสนเทศการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หากไม่มีกรอบจริยธรรมกำกับไว้แล้ว สังคมย่อมจะเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาไม่สิ้นสุด รวมทั้งปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ อีกด้วย
จริยธรรมและการรักษาความปลอดภัยของระบบสารสนเทศ
จริยธรรม (Ethics) หมายถึง หลักเกณฑ์ที่ประชาชนตกลงร่วมกันเพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติร่วมกันในสังคม โดยทั่วไปเมื่อพิจารณาถึงจริยธรรมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศแล้วจะกล่าวถึง 4 ประเด็น ประกอบด้วย
1) ความเป็นส่วนตัว (Information Privacy) คือ สิทธิที่จะอยู่ตามลำพัง และเป็นสิทธิที่เจ้าของสามารถที่จะควบคุมข้อมูลของตนเองในการเปิดเผยให้กับผู้อื่น สิทธินี้ใช้ได้ครอบคลุมทั้งปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล และองค์การต่างๆ
2) ความถูกต้อง (Information Accuracy)
3) ความเป็นเจ้าของ (Information Property) คือกรรมสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สิน ซึ่งอาจเป็นทรัพย์สินทั่วไปที่จับต้องได้ เช่น คอมพิวเตอร์ รถยนต์ และที่จับต้องไม่ได้เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา บทเพลง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทรัพย์สินทางปัญญาได้รับการคุ้มครองสิทธิภายใต้กฎหมาย (1) ความลับทางการค้า (Trade Secret) (2)ลิขสิทธิ์ (Copyright) (3) สิทธิบัตร (Patent)
4) การเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility) การเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมนั้นถือเป็นการผิดจริยธรรมเช่นเดียวกับการละเมิดข้อมูลสวนตัว
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์
เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือ เช่น การโจรกรรมข้อมูลหรือความลับของบริษัท การบิดเบือนข้อมูล การฉ้อโกง การฟอกเงิน การถอดรหัสโปรแกรมคอมพิวเตอร์
แฮกเกอร์ (Hacker) คือบุคคลที่ใช้ความรู้ความสามารถในทางที่ไม่ถูกต้อง/ผิดกฎหมาย ได้แก่ การลักลอบเข้าไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นโดยผ่านการสื่อสารเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
แคร็กเกอร์ (Cracker) คือแฮกเกอร์ที่ลักลอบเข้าไปยังคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นเพื่อวัตถุประสงค์ในเชิงธุรกิจ
Hacktivist หรือ Cyber Terrorist ได้แก่แฮกเกอร์ที่ใช้อินเทอร์เน็ตในการส่งข้อความเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง อาชญากรรมคอมพิวเตอร์อาศัยความรู้ในการใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น โดยสามารถทำให้เกิดความเสียหายด้านทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาลมากกว่าการปล้นธนาคารเสียอีก นอกจากนี้อาชญากรรมประเภทนี้ยากที่จะป้องกัน และบางครั้งผู้ได้รับความเสียหายอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

การใช้คอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรม
- การขโมยหมายเลขบัตรเครดิต เป็นการขโมยหมายเลขบัตรทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งยากต่อการรู้จนกว่าจะได้รับใช้แจ้งยอดการใช้เงินในบัตรนั้น
- การแอบอ้างตัว เป็นการแอบอ้างตัวของผู้กระทำต่อบุคคลที่ตนเป็นอีกคนหนึ่ง การกระทำในลักษณะนี้จะใช้ลักษณะเฉพาะตัว ได้แก่ หมายเลยบัตรประชาชน หมายเลขบัตรเครดิต หนังสือเดินทาง
- การฉ้อโกง หรือการสแกมทางความพิวเตอร์ เป็นการกระทำโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงผู้อื่น เช่น
(1) การส่งข้อความหรือโฆษณาบนเว็บไซต์ว่าท่านสามารถเดินทางเข้าพัก/ท่องเที่ยวแบบหรูหราในราคาถูก แต่เมื่อไปใช้บริการจริง กลับไม่เป็นอย่างที่บอกไว้
(2) การฉ้อโกงด้านธุรกรรมการเงินหรือการใช้บัตรเครดิต เรียกว่า ฟิชชิ่ง (Phishing)เป็นการสร้างจดหมายข้อความเลียนแบบ หรือรูปแบบการแจ้งข่าวสารของบริษัทที่มีชื่อเสียง เช่น eBay เพื่อหลอกลวงเอาข้อมูลบางอย่างจากผู้ใช้ โดยได้ผู้ใช้ส่งข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลการเงินไปยังกลุ่มผู้ที่ไม่หวังดี

คอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นเป้าหมายของอาชญากรรม
1) การเข้าถึงและการใช้คอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำต่างๆ ที่เกี่ยวข้อมูลกับคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลของผู้อื่นโดยที่เจ้าของไม่อนุญาต การเข้าถึงอาจใช้วิธีการขโมยรหัสส่วนตัว (Personal Identification Number : PIN) หรือการเข้ารหัสผ่าน(Password)
2) การก่อกวนหรือทำลายข้อมูล เป็นอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ที่เข้าไปปั่นป่วนและแทรกแซงการทำงานของคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์โดยไม่ได้รับอนุญาต
ดังนั้น การประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ สืบเนื่องจากในปัจจุบันระบบคอมพิวเตอร์ได้เป็นส่วนสำคัญ ของการประกอบกิจการ และการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากมีผู้กระทำด้วยประการใด ๆ ให้ระบบคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานตามคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือทำให้การทำงานผิดพลาดไปจากคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือใช้วิธีการใด ๆ เข้าล่วงรู้ข้อมูล แก้ไข หรือทำลายข้อมูลของบุคคลอื่น ในระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ หรือใช้ระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ หรือมีลักษณะอันลามกอนาจาร ย่อมก่อให้เกิดความเสียหาย กระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งความสงบสุขและศีลธรรมอันดีของประชาชน สมควรกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พอสรุปได้ ดังนี้
มาตรา ๕ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้น มิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖ ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๗ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๘ ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๙ ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๐ ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๑ ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
พนักงานเจ้าหน้าที่มาตรา ๑๘ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๙ เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ เฉพาะที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิดและหาตัวผู้กระทำความผิด(๑) มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้มาเพื่อให้ถ้อยคำ ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือส่งเอกสาร ข้อมูล หรือหลักฐานอื่นใดที่อยู่ในรูปแบบที่สามารถเข้าใจได้(๒) เรียกข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์จากผู้ให้บริการเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรือจากบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง(๓) สั่งให้ผู้ให้บริการส่งมอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้บริการที่ต้องเก็บตามมาตรา ๒๖ หรือที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมของผู้ให้บริการให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่(๔) ทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ จากระบบคอมพิวเตอร์ที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ในกรณีที่ระบบคอมพิวเตอร์นั้นยังมิได้อยู่ในความครอบครองของพนักงานเจ้าหน้าที่(๕) สั่งให้บุคคลซึ่งครอบครองหรือควบคุมข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ ส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ดังกล่าวให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่(๖) ตรวจสอบหรือเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลใด อันเป็นหลักฐานหรืออาจใช้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือเพื่อสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดและสั่งให้บุคคลนั้นส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็นให้ด้วยก็ได้(๗) ถอดรหัสลับของข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลใด หรือสั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเข้ารหัสลับของข้อมูลคอมพิวเตอร์ ทำการถอดรหัสลับ หรือให้ความร่วมมือกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในการถอดรหัสลับดังกล่าว(๘) ยึดหรืออายัดระบบคอมพิวเตอร์เท่าที่จำเป็นเฉพาะเพื่อประโยชน์ในการทราบรายละเอียดแห่งความผิดและผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๑๙ การใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ(๘) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามคำร้อง ทั้งนี้ คำร้องต้องระบุเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลใดกระทำหรือกำลังจะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เหตุที่ต้องใช้อำนาจ ลักษณะของการกระทำความผิด รายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดและผู้กระทำความผิด เท่าที่สามารถจะระบุได้ ประกอบคำร้องด้วยในการพิจารณาคำร้องให้ศาลพิจารณาคำร้องดังกล่าวโดยเร็วเมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ก่อนดำเนินการตามคำสั่งของศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งสำเนาบันทึกเหตุอันควรเชื่อที่ทำให้ต้องใช้อำนาจตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ (๘) มอบให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์นั้นไว้เป็นหลักฐาน แต่ถ้าไม่มีเจ้าของหรือผู้ครอบครองเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ ณ ที่นั้น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งมอบสำเนาบันทึกนั้นให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองดังกล่าวในทันทีที่กระทำได้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เป็นหัวหน้าในการดำเนินการตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ(๘) ส่งสำเนาบันทึกรายละเอียดการดำเนินการและเหตุผลแห่งการดำเนินการให้ศาลที่มีเขตอำนาจภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาลงมือดำเนินการ เพื่อเป็นหลักฐานการทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามมาตรา ๑๘ (๔) ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ และต้องไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินกิจการของเจ้าของหรือผู้ครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเกินความจำเป็น การยึดหรืออายัดตามมาตรา ๑๘ (๘) นอกจากจะต้องส่งมอบสำเนาหนังสือแสดงการยึดหรืออายัดมอบให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์นั้นไว้เป็นหลักฐานแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งยึดหรืออายัดไว้เกินสามสิบวันมิได้ ในกรณีจำเป็นที่ต้องยึดหรืออายัดไว้นานกว่านั้น ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อขอขยายเวลายึดหรืออายัดได้ แต่ศาลจะอนุญาตให้ขยายเวลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งรวมกันได้อีกไม่เกินหกสิบวัน เมื่อหมดความจำเป็นที่จะยึดหรืออายัดหรือครบกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องส่งคืนระบบคอมพิวเตอร์ที่ยึดหรือถอนการอายัดโดยพลัน หนังสือแสดงการยึดหรืออายัดตามวรรคห้าให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๒๐ ในกรณีที่การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามที่กำหนดไว้ในภาคสองลักษณะ ๑ หรือลักษณะ ๑/๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน พนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาจยื่นคำร้อง พร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอำนาจขอให้มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นได้ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการระงับการทำให้แพร่หลายนั้นเอง หรือสั่งให้ผู้ให้บริการระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นก็ได้
มาตรา ๒๑ ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่พบว่า ข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดมีชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์รวมอยู่ด้วย พนักงานเจ้าหน้าที่อาจยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อขอให้มีคำสั่งห้ามจำหน่ายหรือเผยแพร่ หรือสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นระงับการใช้ ทำลายหรือแก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นได้ หรือจะกำหนดเงื่อนไขในการใช้ มีไว้ในครอบครอง หรือเผยแพร่ชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์ดังกล่าวก็ได้ชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์ตามวรรคหนึ่งหมายถึงชุดคำสั่งที่มีผลทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์หรือชุดคำสั่งอื่นเกิดความเสียหาย ถูกทำลาย ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมขัดข้อง หรือปฏิบัติงานไม่ตรงตามคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือโดยประการอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงทั้งนี้ เว้นแต่เป็นชุดคำสั่งที่มุ่งหมายในการป้องกันหรือแก้ไขชุดคำสั่งดังกล่าวข้างต้น ตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๒๒ ห้ามมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่เปิดเผยหรือส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่ได้มาตามมาตรา ๑๘ ให้แก่บุคคลใดความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับการกระทำเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หรือเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีกับพนักงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ หรือเป็นการกระทำตามคำสั่งหรือที่ได้รับอนุญาตจากศาลพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใดฝ่าฝืนวรรคหนึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๓ พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใดกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นล่วงรู้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่ได้มาตามมาตรา ๑๘ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๔ ผู้ใดล่วงรู้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตามมาตรา ๑๘ และเปิดเผยข้อมูลนั้นต่อผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๕ ข้อมูล ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตามพระราชบัญญัตินี้ ให้อ้างและรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยานได้ แต่ต้องเป็นชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจมีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือโดยมิชอบประการอื่น
มาตรา ๒๖ ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้ไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับแต่วันที่ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ในกรณีจำเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้ผู้ให้บริการผู้ใดเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้เกินเก้าสิบวัน แต่ไม่เกินหนึ่งปีเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายและเฉพาะคราวก็ได้ ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จำเป็นเพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการ นับตั้งแต่เริ่มใช้บริการและต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง ความในวรรคหนึ่งจะใช้กับผู้ให้บริการประเภทใด อย่างไร และเมื่อใด ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาผู้ให้บริการผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรานี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
มาตรา ๒๗ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๒๐ หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลตามมาตรา ๒๑ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง
มาตรา ๒๘ การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้และความชำนาญเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ และมีคุณสมบัติตามที่รัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๙ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีอำนาจรับคำร้องทุกข์หรือรับคำกล่าวโทษ และมีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนเฉพาะความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ในการจับ ควบคุม ค้น การทำสำนวนสอบสวนและดำเนินคดีผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ บรรดาที่เป็นอำนาจของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประสานงานกับพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรัฐมนตรีมีอำนาจ ร่วมกันกำหนดระเบียบเกี่ยวกับแนวทางและวิธีปฏิบัติในการดำเนินการตามวรรคสอง
มาตรา ๓๐ ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง บัตรประจำตัวของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
---------------

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552


เพิ่มรูปภาพ

หลักสูตรท้องถ่ิน การประดิษฐ์ดอกไม้สวยด้วยสีเคมี Crista Dip


หลักสูตรท้องถิ่น เรื่อง คู่มือการประดิษฐ์ดอกไม้ด้วยสีเคมี เล่มนี้ ข้าพเจ้าได้จัดทำขึ้นเพื่อให้ครูนำไปสอนภายในสถานศึกษา สังกัดเทศบาลเมืองราชบุรี สอดคล้องตามที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ได้กำหนดให้สถานศึกษามีหน้าที่ในการจัดทำหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาในชุมชน สังคม และภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ ในเอกสารเล่มนี้ประกอบด้วย คำอธิบายรายวิชา หน่วยการเรียน มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ที่ คาดหวัง ซึ่งจัดทำเป็นภาคเรียน สามารถปรับกิจกรรมได้ตามโอกาส เพื่อ ให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาการเรียนรู้ด้านกระบวนการคิด กระบวนการสืบเสาะ หาความรู้ การแก้ปัญหา ความสามารถในการสื่อสาร การตัดสินใจ และการ นำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ตลอดจนมีคุณธรรมและค่านิยมที่ถูกต้อง ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หลักสูตรการประดิษฐ์ดอกไม้สวยด้วยสีเคมี นี้ จะเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ให้แก่คณะครูที่ร่วมกันพัฒนากระบวนการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญได้เป็นอย่างดี หากนำไปใช้แล้วพบว่ามีข้อบกพร่องประการใด โปรดแจ้งให้ ผู้จัดทำได้มีโอกาสน้อมรับมาเพื่อปรับปรุงแก้ไขต่อไปด้วย ขอขอบคุณ คณะผู้บริหารเทศบาลเมืองราชบุรี ที่ให้การสนับสนุน และ ทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำสาระของหลักสูตรเล่มนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี หวังว่าผู้เรียนจักได้ประโยชน์สูงสุดจากการตั้งใจจริงในการทำงานของคณะครูตลอดไป

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วัดสุด อุปกรณ์


การปฐมนิเทศ

1. เครื่องมือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการประดิษฐ์ดอกไม้และตกแต่งวัสดุต่าง ๆ เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการประดิษฐ์ดอกไม้ด้วยสีเคมี มีความจำเป็นเช่นเดียวกับการ ประดิษฐ์งานฝีมือประเภทอื่น ๆ ผู้ที่จะเป็นนักประดิษฐ์ดอกไม้ ฯ จำเป็นต้องทำความรู้จักกับเทคนิคการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในงานประดิษฐ์ทุกประเภท จำเป็นต้องศึกษาหลักและเทคนิค การใช้งานอย่างละเอียดและรอบคอบ เพื่อที่จะได้ใช้เครื่องมืออย่างถูกวิธี ป้องกันการทำให้เกิดผลเสียขณะปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิดผลงานที่ดีและมีคุณภาพ จึงต้องอาศัยหลักการใช้งานอย่างถูกต้องจากเครื่องมือเครื่องใช้ ดังต่อไปนี้
1.1 ปืนยิงกาว เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ถ้าใช้ผิดวิธีอาจทำให้ชำรุดและเกิดอันตรายได้ง่าย การใช้ต้องระมัดระวัง เวลาใช้ปืนยิงกาว จะต้องเสียบปลั๊กทิ้งไว้ประมาณ 3 -5 นาที เพื่อให้ปืนร้อน ซึ่งจะทำให้กาวหลอมละลาย จึงใช้งานได้ การเก็บรักษา เมื่อใช้แล้วต้องถอดปลั๊กทันที แล้วทำความสะอาดปืนยิงกาวในขณะที่กาวยังร้อนอยู่ และรอจนกระทั่งปืนกาวเย็นตัว จึงนำเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
1.2 คีมตัดลวด ใช้สำหรับตัดลวดทำโครงกลีบดอก และใบ คีมตัดลวดที่ดี ควรมีลักษณะคม ไม่มีรอยบาก และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรทาน้ำมันกันสนิม ซึ่งจะทำให้ไม่เป็นสนิมที่คม เป็นการยืดอายุการใช้งานได้ด้วย
1.3 คีมดัดลวด ใช้สำหรับดัดโครงลวดให้เป็นรอยหยักต่าง ๆ ตามชนิดของดอกไม้ที่จะประดิษฐ์ คีมดัดลวด ควรมีลักษณะเล็กพอเหมาะกับมือ และปากแหลม การเก็บรักษา หลังการใช้งาน ควรทาน้ำมันหยอดจักร เพื่อกันสนิมเป็นการยืดอายุ การใช้งาน แล้วเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
1.4 กรรไกร กรรไกรที่ใช้ ควรเป็นกรรไกรขนาดกลาง เพราะใช้ตัดฟลอร่าเทปและกระดาษสีต่าง ๆในการประดิษฐ์ การเก็บรักษา หลังการใช้งานควรเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย 1.5 ท่อพี.วี.ซี. ท่อ พี.วี.ซี. ที่ใช้ในการประดิษฐ์ดอกไม้ด้วยสีเคมี มีหลายขนาด ตามแต่ที่เราจะประดิษฐ์ดอกอะไร และขนาดใหญ่หรือเล็ก เช่น ท่อพี.วี.ซี. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.00 เซนติเมตร,2.5 เซนติเมตร ,3.00 เซนติเมตร,3.5 เซนติเมตร,4.00 เซนติเมตร ,4.5 เซนติเมตร และ 5.00 เซนติเมตร ฯลฯ เป็นต้น
1.6 แผ่นโฟมหนา เป็นแผ่นโฟมหนาที่ใช้ สำหรับปักกลีบดอกหรือกลีบใบที่ชุบสีเคมีแล้ว และไม่ควรให้สีเคมีเลอะเทอะแผ่นโฟม เพราะจะทำให้แผ่นโฟมเสียหายได้
2. วัสดุที่ใช้ประกอบในการประดิษฐ์ดอกไม้ด้วยสีเคมี วัสดุที่ใช้เป็นวัสดุที่หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์งานประดิษฐ์ เช่น
2.1 ลวดธรรมดา เป็นลวดที่ใช้สำหรับทำเป็นโครงลวดกลีบดอก และโครงใบ ลวดมี หลายขนาด แต่ที่ใช้ประดิษฐ์ดอกไม้ด้วยสีเคมีนี้จะใช้ลวดเบอร์ 24
2.2 ลวดสำเร็จ เป็นลวดที่ใช้สำหรับทำดอกไม้ประดิษฐ์ มีหลายสี และเบอร์ ควรเลือกใช้ตามชนิดของดอกไม้ที่จะประดิษฐ์
2.3 ฟลอร่าเทป มีหลายสี สะดวกในการใช้พันก้านดอกและก้านใบไม้ เพราะไม่ต้องทากาวก่อนใช้
2.4 สำลี ใช้สำหรับพันเป็นตุ้มเกสร และใช้พันรอบโคนกลีบดอกไม้ ฯ
2.5 กระดาษทิชชู ใช้พันเสริมก้านให้มีขนาดโตเท่าก้านดอกไม้ของจริง ก่อนที่จะเข้าช่อดอก หรือช่อใบ
2.6 เกสรดอกไม้ ในปัจจุบันจะมีเกสรสำเร็จรูปจำหน่าย มีหลายสีหลายขนาด ควรเลือกใช้ตามชนิดของดอกไม้นั้น ๆ ตามความเหมาะสม
3. สีเคมี เป็นสีเคมีชนิดหนึ่งเหมาะสำหรับชุบโครงลวด มีลักษณะเป็นของเหลว เหนียว หนืด แข็งตัวช้า เกาะหุ้มวัสดุได้ดีและติดทนทานโดยเฉพาะลวดธรรมดา สีเคมี สำหรับชุบโครงลวด มีหลายโทนสี แต่ละโทนสีมี 3 ระดับสี ได้แก่ สีเข้ม สีเข้มปานกลางและสีอ่อน ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มตามโทนสีและลักษณะการตกแต่ง ได้ดังนี้
สีเคมี กลุ่มที่ 1 ได้แก่ สีแดงสีดำสีบานเย็น กลุ่มนี้เป็นสีที่มีระดับสีเดียว
สีเคมี กลุ่มที่ 2 ได้แก่ สีชมพู สีฟ้า สีโอรส สีเขียว สีน้ำตาล สีเทา สี
ปูนแห้ง สีส้ม สีขาว
สีเคมี กลุ่มที่ 3 ไดเแก้สีเขียว (แบบใส) มีระดับสีเดียว
4 . สีเคมีเติม (MIX) เป็นสีเคมีชนิดหนึ่ง มีลักษณะเหลวขุ่น ใช้สำหรับเติมในสีเคมีเมื่อสีเคมีข้นหนืดมาก
วิธีใช้สีเคมีเติม (MIX) ใช้สีเคมีเติม(MIX) เติมลงในขวดสีเคมีที่ข้นหนืด คนให้เข้ากันด้วยไม้จิ้มลูกชิ้น จนกระทั่งเป็นเนื้อเดียวกัน มีเหนียวนุ่ม ไม่หนืดมาก สามารถใช้ชุบโครงลวดกลีบดอก และใบได้อีก5. สีเคมีเคลือบดอกไม้ เป็นของเหลว มีลักษณะใส เหนียว ใช้สำหรับเคลือบกลีบดอกและใบ ที่สำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้ดอกไม้ประดิษฐ์ ฯ แตกหรือกรอบง่าย6. กากเพชร เป็นวัสดุตกแต่งเพิ่มเติมสีสันให้ดูสวยงาม หรูหราแวววาวและเสริมความทนทาน ไม่ให้กรอบแตกง่าย กากเพชร ใช้โดยการระบายบนกลีบดอกไม้ พร้อมกับ
สีเคมีเคลือบ มีหลายสี จำแนกการใช้กับสีเคมี กลุ่มต่างๆ ได้ดังนี้
สีเคมีกลุ่มที่ 1 สีแดง ใช้กากเพชรสีแดงสีดำ ใช้กากเพชรสีม่วงเข้มแบบสีรุ้งสีบานเย็น ใช้กากเพชรสีแดง
สีเคมี กลุ่มที่ 2 สีชมพู สีฟ้า สีโอรส สีเขียว สีน้ำตาล สีเทา สีปูนแห้ง สีส้ม สีขาว
และสีเหลือง ใช้กากเพชรสีขาวแบบสีรุ้ง
สีเคมี กลุ่มที่ 3 สีเขียว (แบบใส) มีระดับสีเดียว เหมาะที่จะใช้กากเพชรสีทองและ กากเพชรสีรุ้ง3. เกล็ดแก้ว มีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ ลักษณะกลมและเป็นเหลี่ยม ใช้สำหรับโรยกลีบดอกหลังจากทาด้วยสีเคมีเคลือบและกากเพชรแล้ว เพื่อทำให้ดอกไม้ดูชุ่มฉ่ำ และแวววาวสวยงาม

การประดิษฐ์ดอกบัวดินแสนสวย

เรื่อง การประดิษฐ์ดอกบัวดินแสนสวย
เตรียมวัสดุ
1. สีเคมีสีขาว และ สีเคมีเติม (MIX)
2. ลวดเบอร์ 24 จำนวน 250 กรัม
3. ก้านลวดสำเร็จรูป 10 ก้าน
4. เกสรแบบเส้นสีขาว จำนวน 4 มัด
5. ฟลอร่าเทปสีเขียว
6. ฟลอร่าเทปสีขาว
7. สีเคมีเคลือบ
8. สีน้ำมันสีชมพู และสีเหลือง
9. กากเพชรสีขาวรุ้ง
10. เกล็ดแก้ว
อุปกรณ์
1. ท่อพี.วี.ซี. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 เซนติเมตร
2. คีมตัดลวด
3. คีมปากแหลม
4. แผ่นโฟม ขนาด 3 ´ 5 ฟุต (สำหรับปักกลีบดอกที่ชุบสีเคมีแล้ว)
5. พู่กันเบอร์ 81.
วิธีการตัดลวดกลีบดอกบัวดินแสนสวย จำนวน 10 ดอก
- ตัดลวดเบอร์ 24 ยาว 12 เซนติเมตร จำนวน 60 เส้น
วิธีขึ้นโครงลวดกลีบดอกบัวดินแสนสวย ทำดังนี้
1. พันลวด ยาว 12 เซนติเมตร รอบท่อ พีวีซี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 เซนติเมตร บิดปลายลวดด้านสั้นให้เป็น เกลียวรอบปลายด้านยาว 3-4 รอบทำทีละเส้นจำนวน 60 กลีบ
2. วิธีดัดโครงลวดกลีบดอกก่อนชุบสีเคมี
2.1 โครงลวดจะมีลักษณะเป็นวงกลม มีก้าน ให้จับก้านโครงลวดโดยหงายวงลวดให้ได้
ระนาบกับฝ่ามือ
2.2 บีบวงลวดจากโคนวงลวดขึ้นไป เพื่อหาจุดกึ่งกลาง บีบให้ปลาย-โคนกลีบ เรียวแหลม ทำทุกกลีบจนครบตามจำนวนที่ต้องการ
3. วิธีการชุบโครงลวดด้วยสีเคมี
3.1 จับก้านดอก หรือก้านใบ จุ่มปลายกลีบลงในขวดสีเคมีให้สีเคมีท่วมก้านดอก
ประมาณ 1.5 เซนติเมตร(ขณะที่จุ่มสีเคมี ต้องเอียงขวดเล็กน้อย)
3.2 ดึงก้านดอกช้า ๆ ( เอียงขวดเล็กน้อย) ให้ปลายกลีบแตะที่ขอบปากขวด เพื่อตัด
ให้ สีเคมีขาดจากกัน
3.3 เป่ากลีบดอกที่ชุบสีแล้วเบาๆ ให้หมาด ๆ (ถ้ากลีบดอกไม่หมาด สีเคมีจะไหลลงมาที่โคน ดอกจะทำให้กลีบดอกบาง และขาดง่าย) ถ้าให้ถูกพัดลมเบา ๆ จะดี แต่ขวดสีเคมีไม่ควร เปิดให้โดน อากาศมาก จะทำให้สีเคมีในขวดแข็งตัว ทำให้หนืด ชุบโครงลวดไม่สะดวก
3.4 ปักก้านดอกกับแผ่นโฟม ตากให้แห้ง ประมาณ 10-12 ชั่วโมง
4. การไล้สีน้ำมันบนกลีบดอก
4.1 ใช้นิ้วกลางแตะสีชมพู ไล้จากปลายกลีบถึงกลางกลีบ สีเข้มไปอ่อน
4.2 ใช้นิ้วกลางแตะสีเหลือง ไล้จากโคนกลีบดอกถึงกลางกลีบ สีเข้มไปอ่อน
5. ขั้นตอนวิธีเข้าดอกบัวดินแสนสวย
5.1 เกสรตัดครึ่ง นำมาพันติดกับก้านต้น จำนวน 6 อัน ด้วยฟลอร่าเทป
5.2 นำกลีบดอกสีชมพู ติดใต้เกสร 3 กลีบ พันด้วยฟลอร่าเทป ติดทีละกลีบ
5.3 นำกลีบดอกสีชมพู ติดใต้เกสร 3 กลีบ พันด้วยฟลอร่าเทป สับหว่างกับแถวแรกติด
ทีละกลีบ
5.4 พันก้านดอกใต้โคนดอกด้วยฟลอร่าเทปสีขาวประมาณ 1 นิ้ว
5.5 พันฟลอร่าเทปสีเขียวทับสีขาวประมาณ ครึ่งนิ้ว แล้วพันให้สุดก้าน
6. การเคลือบดอกบัวดินแสนสวย
6.1 พู่กันจุ่มสีเคมีเคลือบ ทาเบา ๆ ให้ทั่วกลีบดอก ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
6.2 พู่กันแตะสีเคมีเคลือบ พร้อมกากเพชร สีขาวรุ้ง แต้มบริเวณปลายกลีบ ด้านหน้าและ
เกสร
6.3 โรยเกล็ดแก้วบริเวณที่ทากากเพชร 7.4 นำดอกบัวดินแสนสวยจัดในภาชนะที่เตรียมไว้
ปิดโคนด้วยหญ้ามอสแห้ง
*************